ณ โลกแห่งความตายที่น่าสะพรึงกลัวและน่าขยะแขยงที่สุด พื้นแผ่นฟ้าที่ปกคลุมด้วยไอแห่งความตายสีแดงฉาน พื้นล่างมีเพียงพื้นสีดำ โขดหินมากมายและเหล่าวิญญาณซึ่งอดีตเคยเป็นมนุษย์ชั่วช้าสามานย์ ไร้สิ่งใดติดตัว มีเพียงผิวหนังอันบอบบางเพื่อรองรับการลงโทษจากยมทูต
กาลเวลาแห่งโลกสีโสมมนั้นเป็นชั่วนิรันดร์ เหมือนดั่งสิ่งที่เกือบมีชีวิตที่เกิดจากเศษจิตและวิญญาณคนตาย หลอมรวมกลายเป็นเงาสีดำสนิททั้งตัวไร้ใบหน้าเดินเร่รอนไร้จุดหมาย พวกมันเกิดและคงอยู่ในโลกนี้ไปชั่วกาลเช่นกัน
แต่หากมีหนึ่งเงาทมิฬที่คิดต่าง อยากออกไปดูภายนอกของไอสีแดงที่คุ้มหัวมันอยู่ ดังที่เหล่ายมทูตชอบเหล่าขานให้กันฟัง โลกที่ทำให้พวกนั้นคุยกันด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมันเป็นอย่างไร เงาทมิฬตนนั้นจึงก้าวเดินอย่างมีจุดหมายเพื่อตามหาสิ่งที่ตนปรารถนาเหมือนทุกๆครั้ง
“ยมทูต______________”
ร่างเงาสีดำสนิทผอมสูงยืนงอตัวสภาพเหมือนไร้เรี่ยวแรงและสั่นตลอดเวลาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งแผ่วเบากับผู้ที่อยู่เบื้องหน้าสองคนซึ่งมีร่างอยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำและพวกเขามีใบหน้ารูปร่างเหมือนมนุษย์เพียงแต่มีผิวกายเป็นสีแดง
“มีอะไร! สัตว์นรก!”
น้ำเสียงตะคอกดุดันนั้นบอกได้ดีว่าไม่อยากที่จะเสวนาด้วยแม้แต่น้อย
“ช่วยบอกวิธี________ ขึ้นไปบนโลกมนุษย์ให้ข้า__________”
“นี่แกอีกแล้วเรอะ! ข้าบอกกี่ทีแล้ว! ว่าสัตว์นรกอย่างแกน่ะก็เป็นได้แค่สัตว์อยู่อย่างไร้ค่าที่นี่เท่านั้น อย่าสะเออะคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มีชีวิตนะโว้ย!”
สิ่งที่ถูกยมทูตเรียกขานว่าสัตว์นรกยังไม่ทันเอ่ยสิ่งที่ตนอยากร้องขอความช่วยเหลือก็ถูกขัดด้วยความโมโหเดือดดานจากอีกฝ่ายทันที
“ข้า________ วิงวอน__________”
“ฮ้าๆๆ!”
ยมทูตอีกตนหนึ่งหัวเราะขึ้นมาทันที และตามด้วยคำพูดเหยียดหยามจากยมทูตอีกตน
“วิงวอนหรอ! สัตว์อย่างแกไปรู้จักคำพูดของมนุษย์แบบนั้นมาจากไหนกันว๊ะ! อย่าเที่ยวไปถามยมทูตคนไหนอีกเชียวล่ะ เพราะถึงแกจะอยู่ไปได้ตลอดกาลแต่ถ้ายมทูตรำคาญขึ้นมาและคิดจะสลายร่างแกมันก็ไม่ไม่ใช่เรื่องยาก แล้วแกก็จะหายไปเหมือนฝุ่นผงนะโว้ย!”
สัตว์นรกที่ถูกตะคอกใส่ตัวงอจนสั่นกว่าปกติเพราะความหวาดเกรง แต่ก็คงยังอยากรู้ให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ จึงแหงนหน้าขึ้นมองและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ข้า_____ ขอ_____ วิงวอน________”
“บังอาจ_________ ”
ทันใดนั้นเอง เพี๊ย!!!!!!!!
“โอ้ยยยยย!!!!!!!___________”
แซ่หนามจากมือยมทูตฟาดใส่ตัวของสัตว์นรกเข้าอย่างจัง จนมันกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแสนหัส เพราะถึงแม้แซ่นั้นจะเป็นอาวุธที่ใช้ลงโทษวิญญาณเท่านั้นแต่มันก็ถือกำเนิดจากวิญญาณเหล่านี้เช่นกัน จึงเจ็บปวดทรมานไม่ต่างอะไรกันเลย ซึ่งยมทูตก็ฟาดใส่มันด้วยความหงุดหงิดไม่หยุด
เพี๊ยๆๆๆ!!!!!!!!
“แกน่ะ! แค่โชคดีได้เกิดมาก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่าสะเออะอวดดีขึ้นมานะโว้ย ถ้ามีคราวหน้าอีกข้าจะสลายร่างของแกทิ้งซะ ไสหัวไปเลยไป๊ ไอ้สัตว์นรก!..........”
สิ้นเสียงขับไล่หรือเพราะความเจ็บปวดจนทนไม่ไหว เงาทมิฬจึงรีบวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนทันที
“ฮือ!___________”
เสียงครางเบาๆดังมาจากใต้โขดหินเพื่อใช้เป็นวิธีรักษาอาการเจ็บปวดเพียงวิธีเดียวจนกว่ากาลเวลาจะรักษาความเจ็บนี้ให้หายไป เงาทมิฬที่ถูกเรียกว่าสัตว์นรกซึ่งมันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกเรียกเช่นนั้น มันนั่งมองดูเหล่ายมทูตไล่ต้อนลงโทษวิญญาณในนรกที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
ยิ่งมันจ้องดูไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่ตัวมันได้รับ มันก็ยิ่งไม่เข้าใจว่ามันกับเงาดำที่เหมือนมันเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ ไม่ใช่เกิดมาลงโทษพวกไหนและไม่ใช่เกิดมาเพื่อให้พวกไหนลงโทษ
มันนั่งลูบแขนลูบตัวอยู่นานจนในที่สุดก็หายเจ็บปวดและตอนนั้นเองที่มันคิดได้ว่า ในเมื่อไม่รู้จะมีตัวตนอยู่ไปทำไมก็สู้เสี่ยงที่ต้องสลายไปเพื่อชิงโอกาสที่ตนจะได้ออกไปสู่โลกอื่นที่มันไม่รู้จักดีกว่า
ว่าแล้วมันก็คิดอะไรได้บางอย่าง จึงเริ่มออกเดินทางตามยมทูตตนแล้วตนเล่าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พบกับลำแสงสีขาวที่พุ่งทะยานออกไปนอกไอแดงที่เป็นดั่งผืนฟ้าของโลกทั้งใบของมัน
มันเฝ้าดูในหลืบหินอยู่นานจนในที่สุดมันก็เข้าใจ การออกไปด้านบนและการเอาตัวรอด ซึ่งบริเวณนี้ป้องกันแค่เหล่าวิญญาณแต่ไม่มีอะไรกันสัตว์นรกที่คิดผิดแผกอย่างมัน จึงไม่มียมทูตคนไหนระแวง
และในที่สุดเมื่อสบโอกาสเหมาะเจาะมันจึงแอบย่องไปขโมยปีกและเม็ดหินชีวิตสีฟ้าสุกสกาวของยมทูตตอนเผลอ และทันทีนั้นมันก็วิ่งเข้าไปในลำแสง เหล่ายมทูตที่เข้าออกลำแสงนั้นต่างเห็นมันแต่ก็ไม่ทันที่จะเข้าไปจับกุม ร่างของมันก็พุ่งขึ้นไปสู่โลกมนุษย์แล้ว
ในลำแสงสีขาวนั้นทำให้มันรู้สึกได้ทันทีว่าตอนนี้มันได้ถือกำเนิดและมีชีวิตอย่างแท้จริง ลำแสงที่ไม่มีกลิ่นทำให้มันรู้ว่าโลกเบื้องล่างเหม็นเน่าโสโครกเพียงใด ภายใต้ลำแสงที่ยังไร้จุดหมาย มันเอาปีกเล็กๆติดไว้ที่หลังและทันใดนั้นเอง ปีกสีขาวก็ขยายใหญ่ขึ้น
เมื่อลำแสงสีขาวสิ้นสุด ก็เผยให้เห็นเบื้องบนเป็นสีฟ้าเวิ้งว้าง มีบางสิ่งที่เป็นสีขาวปุยๆลอยเอื่อยๆดูแล้วสบายตา ด้านล่างที่มันบินอยู่ด้วยแรงปีก คือผืนดินที่ปกคลุมด้วยบางสิ่งสีเขียวดูสดชื่นมีชีวิตชีวา และบางอย่างที่เป็นของเหลวไหลเป็นสายยาวจนสุดสายตา มันรู้ได้ทันทีว่าโลกนี้มีอะไรให้มันได้ค้นหาได้รู้จักโดยไม่รู้เบื่อ
มันบินไปเรื่อยๆจนเจอสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่จำนวนมากและฝูงมนุษย์เดินสวนกันจนวุ่นวาย มันจึงเอาเม็ดหินชีวิตอมไว้ใต้ลิ้น ทันใดนั้นเองมันก็มีหน้าตามีเลือดเนื้อ มีความหนักอึ้งที่อกข้างซ้าย
เสื้อผ้าอาภรณ์ของมนุษย์ก็ปรากฏบนร่างมัน ตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับมนุษย์บนโลกเลยสักนิด มันเอาปีกออกเก็บและเดินปะปนไปกับมนุษย์เหล่านั้น
ซึ่งมันก็รู้อยู่แก่ใจว่าเหล่ายมทูตต้องออกตามล่ามันอย่างแน่นอนแต่นั่นก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปเพราะ.........
“นี่คือชีวิตที่ข้าเลือกเอง ข้าไม่ได้หลบซ่อน ข้าไม่ได้หนี
ข้าจะเดินต่อไปยังที่ที่ข้าไม่เคยไป ข้าจะออกวิ่งหากใจข้าปรารถนา
พวกเจ้าไม่ได้ตามล่าข้าอย่างที่เข้าใจ______
พวกเจ้าก็แค่________ วิ่งตามก้นข้าก็เท่านั้น_______________________” __________________________________________
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น